วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ <p><strong>EDKKUJ</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ</p> <p>ISSN: 0857-1511, E-ISSN: 2673-0847</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 0857-1511 การออกแบบและพัฒนานวัตกรรมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-Board game ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่อง ห.ร.ม. และ ค.ร.น. สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264758 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนานวัตกรรมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-Board game ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่อง ห.ร.ม. และ ค.ร.น. สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ปีการศึกษา 2565 รูปแบบการวิจัยในการศึกษาครั้งนี้คือ การวิจัยเชิงพัฒนา (Developmental research) ในระยะที่ 1 ประกอบด้วย การพัฒนา (Development) ซึ่งประกอบด้วยหลายรูปแบบ ได้แก่ การวิจัยเอกสาร (Document analysis) การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey) มีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จำนวน 3 คน ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพของสื่อบนเครือข่ายจำนวน 3 คน ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ฯ จำนวน 3 คน ผู้พัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ฯ จำนวน 1 คน ผู้สอนจำนวน 1 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 28 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-Board game ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่อง ห.ร.ม. และ ค.ร.น. สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ (1) ปัญหา/ภารกิจ (2) แหล่งเรียนรู้ (3) ฐานการช่วยเหลือ (4) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (5) ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และพบว่าผลการประเมินนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-Board game ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนมีความเหมาะสมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านสื่อบนเครือข่าย และด้านการออกแบบ พบว่า ด้านเนื้อหามีความเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ และองค์ประกอบทั้ง 5 องค์ประกอบมีการออกแบบที่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานเชิงทฤษฎี ในด้านการออกแบบสื่อบนเครือข่ายและการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้มีความเหมาะสมในการส่งเสริมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน</p> วัชราภรณ์ ถ้ำกลาง จีรนันทร์ แก่นนาคำ วัชรพงศ์ ใจเดียว ศรีประไพ เพียนอก Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 1 14 สมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมผนวกกับแบบจำลองเป็นฐาน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264149 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมผนวกกับแบบจำลองเป็นฐาน (socio-scientific issue and model based learning, SIMBL) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี จำนวน 40 คน &nbsp;&nbsp;โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ SIMBL จำนวน 4 แผน รวมเวลาจำนวน 16 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อสอบชนิดสร้างคำตอบจำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์หลังเรียน ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">&nbsp;= 13.78 คะแนน หรือ ร้อยละ 28.70) สูงกว่าก่อนเรียน ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">&nbsp;&nbsp;= 2.18 คะแนน หรือ ร้อยละ 2.28) และทุกองค์ประกอบของสมรรถนะ การอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ภควัต สองเมือง วรัญญา จีระวิพูลวรรณ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 15 29 การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญและการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบอาคิตะ ร่วมกับเทคนิคบันได 6 ขั้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266916 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบอาคิตะ ร่วมกับเทคนิคบันได 6 ขั้น ให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป และ 2) พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบอาคิตะ ร่วมกับเทคนิคบันได 6 ขั้น กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนอนุบาลชุมชนภูกระดึง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จำนวน 32 คน การวิจัยเป็นแบบเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบอาคิตะ ร่วมกับเทคนิคบันได 6 ขั้น จำนวน 6 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง แบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมของครูและนักเรียน แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ และแบบทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญเฉลี่ยเท่ากับ 22.53 คิดเป็นร้อยละ 75.10 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 78.13 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะห์เฉลี่ยเท่ากับ 22.34 คิดเป็นร้อยละ 74.78 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 75.00 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p> ทิฆัมพร ตอพล สิทธิพล อาจอินทร์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 30 46 การพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับโปรแกรม Coggle https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266906 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ร่วมกับโปรแกรม Coggle ให้คะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 2) พัฒนาทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล โดยใช้วิธีเดียวกัน กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านห้วยคะมะ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จำนวน 19 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับโปรแกรม Coggle จำนวน 6 แผน เวลา 12 ชั่วโมง 2) แบบบันทึกผลการเรียนรู้ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมครูและนักเรียน 4) แบบสัมภาษณ์นักเรียน 5) แบบทดสอบทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 6) แบบทดสอบทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย (X̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมเฉลี่ยเท่ากับ 17.50 คิดเป็นร้อยละ 72.92 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 78.95 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) นักเรียนมีคะแนนทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลเฉลี่ยเท่ากับ 16 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 78.95 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p> มนตรี เศษวิสัย สิทธิพล อาจอินทร์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 47 63 การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266910 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ให้คะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 2) พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีเดียวกัน กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 10 คน จากโรงเรียนบ้านคำตานา (อรัญวาสวิทยา) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 การวิจัยเป็นเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม จำนวน 6 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง แบบบันทึกผลการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและครู แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และแบบทดสอบทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เฉลี่ยเท่ากับ 43.80 คิดเป็นร้อยละ 87.60 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ 10 คน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) นักเรียนมีคะแนนทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์เฉลี่ยเท่ากับ 24.17 คิดเป็นร้อยละ 80.56 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ 10 คน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p> โยทะกา อันทะหวา สิทธิพล อาจอินทร์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 64 80 การพัฒนารูปแบบการผลิตครูเพื่อการพัฒนาโรงเรียนของชุมชนในท้องถิ่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/260294 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการพัฒนารูปแบบการผลิตครูเพื่อพัฒนาโรงเรียนของชุมชนในท้องถิ่น 2) พัฒนารูปแบบการผลิตครูเพื่อพัฒนาโรงเรียนของชุมชนในท้องถิ่น 3) ศึกษาความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อรูปแบบการผลิตครูเพื่อพัฒนาโรงเรียนของชุมชนในท้องถิ่น กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ประชากรที่ใช้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รวม 54 ท่าน 2) ประชากรที่ใช้พัฒนารูปแบบ คือผู้วิจัยโครงการย่อย รวม 14 ท่าน 3) กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รวม 55 ท่าน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แบบบันทึกการประชุมกลุ่มย่อย 3) แบบประเมินความคิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล Content Analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐานพบว่า การพัฒนารูปแบบการผลิตครูควรให้ความสำคัญกับเครือข่ายความร่วมมือ กระบวนการคัดเลือก อัตลักษณ์นักศึกษาครู กิจกรรมเสริม หลักสูตรการศึกษาพิเศษ ทักษะการวิจัยชุมชน ระบบดูแลนักศึกษา และระบบสารสนเทศ 2) การพัฒนาเป็นรูปแบบการผลิตครูเพื่อพัฒนาโรงเรียนของชุมชนในท้องถิ่นแบ่งเป็น 3 ภาคส่วน ได้แก่ กระบวนการคัดเลือกนักศึกษาครู กระบวนการผลิตครู และเครือข่ายความร่วมมือของสถาบันผลิตและพัฒนาครู 3) จากการศึกษาความคิดเห็น พบว่าด้านกระบวนการค้นหา คัดกรอง คัดเลือก และการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การเป็นนักศึกษาครู และด้านความสำคัญของเครือข่ายความร่วมมือของสถาบันผลิตและพัฒนาครูมีความคิดเห็นในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ข้อค้นพบคือการให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่และการได้รับความร่วมมือจากคนในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ตรงตามความต้องการ</p> นพดล ทุมเชื้อ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 81 100 การพัฒนาสื่อบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/257531 <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อ 1) พัฒนาสื่อบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชายชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ที่เรียนโขนตัวลิง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 1) บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าอยู่ระหว่าง 83.38/89.25 แสดงว่าบทเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ ก่อนเรียนมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 16.63 และ S.D. = 0.67 และหลังเรียนมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 17.85 และ S.D. = 0.62 แสดงว่าบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การเต้นโขนประกอบคำพากย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 3) ผลของการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.61, S.D. = 0.49)</p> ทรงธรรม สุขยานี นงนุช นุชระป้อม สะวรรณยา เกตานิรุจน์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 101 117 ความต้องการจำเป็นในพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับครู ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต สปป.ลาว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264574 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพที่มีอยู่จริง สภาพที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาสมรรถนะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของครู โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต จำนวน 41 คน ซึ่งกำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความสำคัญของลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพที่มีอยู่จริงอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.00) และสภาพที่คาดหวังเกี่ยวกับสมรรถนะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.94) 2) ค่า PNI<sub>modified</sub> ภาพรวม เท่ากับ 0.65 ถือว่ามีความต้องการจำเป็นสูงที่ต้องได้รับการพัฒนา โดยเรียงลำดับสมรรถนะด้านทักษะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 1.07) รองลงมา คือ ด้านความรู้ (PNI<sub>modified</sub> = 0.56) และด้านคุณลักษณะที่เอื้อต่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน (PNI<sub>modified</sub> = 0.32) ตามลำดับ ดังนั้น การพัฒนาพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับครู ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต สปป.ลาว จึงควรกำหนดให้มีการพัฒนาสมรรถนะเหล่านี้ในหลักสูตรการฝึกอบรมเหมือนดั่งการพัฒนาวิชาการหลัก นอกจากนี้สมรรถนะการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนควรมีการฝิกฝนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง</p> แลนต้า เกดอู่คำ วิจิตรา วงศ์อนุสิทธิ์ เพ็ญผกา ปัญจนะ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 118 132 การจัดการศึกษาสู่ความเป็นเลิศในโรงเรียนเอกชน: กรณีศึกษาโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/262078 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานของสถานศึกษา และแนวทางการจัดการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ: กรณีศึกษาโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาการบริหารสู่ความเป็นเลิศ ตามเกณฑ์ TQA เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบวิเคราะห์รายงานการดำเนินงาน และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่าย และครู จำนวน 10 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการดำเนินงานของโรงเรียน เป็นไปตามเกณฑ์ TQA ทั้ง 7 หมวด 1) การนำองค์กร ผู้บริหารยึดหลักบริหารโรงเรียนเป็นฐาน 2) กลยุทธ์ มีโปรแกรม MIP และเปิดแผนการเรียน BCC NEXT 3) ลูกค้า จุดเด่น คือ สุภาพบุรุษ BCC 4) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ จัดโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ Sustainable Happiness 5) บุคลากร มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ 6) การปฏิบัติการ เปิดห้องเรียน Innovation และแผนการเรียนเฉพาะด้าน 15 สาขา และ 7) ผลลัพธ์ เป็นผู้แทนประเทศแข่งขันโอลิมปิกนานาชาติ ต่อเนื่อง 15 ปี 2. แนวทางการจัดการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ตามเกณฑ์ TQA ดังนี้ 1) การนำองค์กร คุณลักษณะของผู้นำ ยึดมั่นในความรู้ควบคู่คุณธรรม 2) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ มีกำหนดเป้าหมายชัดเจน นำหลัก SWOT มาใช้ 3) การมุ่งเน้นลูกค้า เปิดโอกาสให้นักเรียน ผู้ปกครองร่วมวางแผนในกิจกรรมการเรียนการสอน 4) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ กำหนดมาตรฐานการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศ<br />5) การมุ่งเน้นบุคลากร พัฒนาทักษะวิชาชีพให้บุคลากร ทั้งความรู้และทักษะชีวิต 6) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการ จัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาระยะยาว 7) ผลลัพธ์ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ความถนัด และพัฒนาตนเอง ได้เต็มศักยภาพ</p> กรกฎ ผกาแก้ว พันธุ์ยุทธ มีชาญเชาว์ กันต์กนิษฐ์ โพธิจักร สิรินธร สินจินดาวงศ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 133 147 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพโดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ของครูผู้สอนกลุ่มสาระการงานอาชีพระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดเชียงราย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264334 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพโดยใช้รูปแบบ ASSURE Model หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพโดยใช้รูปแบบ ASSURE Model และหาประสิทธิผลของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพโดยใช้รูปแบบ ASSURE Model กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ด้วยวิธีตามสะดวกหรือสมัครใจ (Convenient or Volunteer Sampling) เป็นโรงเรียนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 3 โรงเรียน ครูผู้สอน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยนำรูปแบบ ASSURE Model เป็นระบบออกแบบวางแผนการใช้สื่อการสอนดำเนินตามขั้นตอน ดังนี้ วิเคราะห์ผู้เรียนคุณลักษณะผู้เรียน (Analysis Learner) กำหนดวัตถุประสงค์ (States Objective) เลือกวิธีการ สื่อและวัสดุการเรียนการสอน (Select Method, Media and Materials) นำวิธีการและสื่อวัสดุไปใช้ (Utilized Media and Materials) การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Require Learner Participation) การประเมินผล (Evaluation) ได้แผนการจัดการเรียนรู้ 5 บทเรียน คือ (1) ความรู้เบื้องต้นของสับปะรดนางแลและภูแล รายวิชาการถนอมอาหารและแปรรูปอาหาร (2) การจัดดอกไม้เบื้องต้น รายวิชาการจัดดอกไม้ (3) การตัดเย็บเบื้องต้น รายวิชาการงานอาชีพ (4) การแกะสลักผักและผลไม้ รายวิชาการงานอาชีพ และ (5) อาหารท้องถิ่น รายวิชาอาหารท้องถิ่น ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ ASSURE Model ทั้ง 5 บทเรียนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 72.61/81.60 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้80/80 และทั้ง 5 บทเรียนมีประสิทธิผลของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01ดังนั้นรูปแบบ ASSURE Model สามารถใช้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ได้</p> รักชนก อินจันทร์ กฤษณกัณฑ์ ภาโพธิรัตน์ ชญานิน วังตาล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 148 163 การจัดการเรียนรู้บนแพลตฟอร์มห้องเรียนออนไลน์: การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/257955 <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของสื่อวิดีโอออนไลน์ (E1/E2) เรื่องพลังงานความร้อนที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องพลังงานความร้อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) สื่อวิดีโอออนไลน์เรื่องพลังงานความร้อน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ข้อมูลไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื่อวีดิโอออนไลน์เรื่องพลังงานความร้อนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.89/80.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> เจษฎา ราษฏร์นิยม นันทวัฒน์ ภักดี กรกมล ชูช่วย ธัชชา ศุกระจันทร์ สุมาลี เทียนทองดี Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 164 178 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/263825 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80&nbsp; 2) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2&nbsp; 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม&nbsp; การเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2&nbsp; 4) เพื่อเปรียบเทียบคะแนน การคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2&nbsp; โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้อง มีนักเรียน 35 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 1 ชุดกิจกรรม จำนวน 10 เล่ม 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 4) แบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์ จำนวน 20 ข้อ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (dependent)&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li class="show">ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับ การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.11/81.62 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้</li> <li class="show">ค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7340</li> <li class="show">คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของนักเรียนหลังของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">คะแนนการคิดวิเคราะห์เฉลี่ยของนักเรียนหลังของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 5. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องรู้ทันโรคาทัศนาเมืองขอนแก่น ตามแนวคิด 5W1H ร่วมกับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2&nbsp; มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด&nbsp;</p> เจิมขวัญ อิสสระพงศ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 179 191 ผลของการใช้ ChatGPT ร่วมกับการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับปริญญาตรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/267191 <p>งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่เรียนควบคู่กับการใช้งาน ChatGPT และผู้เรียนที่เรียนแบบบรรยายปกติ 2) วัดความพึงพอใจการใช้งาน ChatGPT ในการเรียนควบคู่การบรรยายเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์สำหรับกลุ่มทดลอง โดยการวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research Methodology) มีแบบแผนการวิจัยเป็นแบบเชิงทดลองแบบแท้จริง (True Experimental Research Design) ประชากรในงานวิจัยนี้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 2-3 ปี ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง 2-3 ปี ที่ลงเรียนในรายวิชาการคำนวณพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้วยโปรแกรมพื้นฐาน ภาคเรียนที่ 1/2566 จำนวน 72 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองโดยมีการทดสอบเพื่อการเปรียบเทียบโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จากผลการทดลองพบว่า ผลการเปรียบเทียบที่ได้จากแบบทดสอบก่อนเรียนของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันโดยกลุ่มทดลองมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 10.89, S.D. = 4.55 กลุ่มควบคุมมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 10.44, S.D. = 4.80 (* p &gt; .05 และ <img title="^{S_{2}^{1}} = ^{S_{2}^{2}}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?^{S_{2}^{1}}&amp;space;=&amp;space;^{S_{2}^{2}}" /> ) จากนั้นใช้ ChatGPT-3.5 เข้ามาร่วมในการเรียนการสอนห้องของกลุ่มทดลอง และทำการเรียนการสอนเนื้อหาแบบปกติในห้องของกลุ่มควบคุมแล้วทำการทดสอบหลังเรียน พบว่า กลุ่มทดลองมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 17.89, S.D. = 2.95 กลุ่มควบคุมมีค่า <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 14.56, S.D. = 3.23 (* p/2 &gt; .05 และ <img title="^{S_{2}^{1}} = ^{S_{2}^{2}}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?^{S_{2}^{1}}&amp;space;=&amp;space;^{S_{2}^{2}}" /> ) จึงสามารถสรุปได้ว่ากลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนควบคู่กับการใช้ ChatGPT มีความเข้าใจในเนื้อหามากกว่ากลุ่มควบคุมที่ผ่านการเรียนการสอนแบบปกติ และจากการประเมินความพึงพอใจการใช้งาน ChatGPT พบว่าผลการประเมินทั้งหมดอยู่ในระดับพึงพอใจมาก</p> นิพันธ์ ประวัติเจริญวิทย์ สมภพ ทองปลิว ศรีอัมพร เร่บ้านเกาะ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2 กรณีศึกษานวัตกรรมการบริหารและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ของผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดเล็กที่มีการปฏิบัติเป็นเลิศ: รางวัล OBEC AWARDS ระดับชาติ ประจำปีการศึกษา 2562 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/254629 <p>กรณีศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอการใช้นวัตกรรมการบริหารและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน กรณีศึกษารางวัล OBEC AWARDS ระดับชาติ ประจำปีการศึกษา 2562 ซึ่งกรณีศึกษานี้นำมาใช้ในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระดับปริญญาโท หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยมีพื้นที่เป้าหมายกรณีศึกษาคือ โรงเรียนบุ่งสะอาดวัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้ได้รับรางวัลผู้อำนวยการสถานศึกษายอดเยี่ยมในการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ระดับประถมศึกษา ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ผลการศึกษาทำให้ทราบคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้อำนวยการสถานศึกษา แนวคิดและกระบวนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ซึ่งสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้จัดโครงการสัมมนาทางการบริหารการศึกษา โดยเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนผู้ได้รับรางวัล มาเป็นวิทยากรบรรยายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั้งเสนอแนวทางในการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ นำไปสู่การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาเพื่อประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป</p> จตุรงค์ ธนะสีลังกูร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 47 2