วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ <p><strong>EDKKUJ</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ</p> <p>ISSN: 0857-1511, E-ISSN: 2673-0847</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 0857-1511 การศึกษาประเด็นหลักที่ส่งผลต่อการขาดประสิทธิภาพของการฝึกปฏิบัติงานของนักเรียนนักศึกษาในภาคอุตสาหกรมการบริการและการท่องเที่ยว https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/258952 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาประเด็นปัญหาหลักที่ส่งผลให้การฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาในสถานประกอบการด้านธุรกิจการบริการและการท่องเที่ยว การฝึกปฏิบัติงานถือเป็นการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็นวิธีการที่ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ทักษะการปฏิบัติงาน ทัศนคติและพฤติกรรมที่เหมาะสมและเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการกล่างถึงประโยขน์ที่จะได้รับ ซึ่งทำให้เกิดโอกาสในการศึกษาในมิติที่เป็นปัญหา ซึ่งเมื่อมีการมองลงไปยังปัญหาที่กล่าวไว้ในการศึกษาที่ผ่านมา ปรากฏว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นการสะท้องผ่านมุมองของผู้ที่เกี่ยวข้องเพียงฝ่ายเดียว ขาดมิติที่เป็นการรวบรวมปัญหาจากทุกฝ่าย นักเรียนนักศึกษา สถานศึกษา และผู้ประกอบการ ดังนั้นในการศึกษานี้ การทบทวนวรรณกรรมอย่ามีกระบวนการชัดเจนจึงถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการฝึกปฏิบัติงานของนักเรียนนักศึกษาในธุรกิจการบริการและการท่องเที่ยว จากการศึกษาพบว่าประเด็นปัญหาหลักที่กำลังส่งผลต่อประสิทธิภาพการฝึกปฏิบัติงานของนักเรียนนักศึกษาแบ่งออกเป็น 8 ด้าน ประกอยด้วย สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่อำนวย ขาดระบบการดูแลนักศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ถูกมองว่าเป็นแรงงานราคาถูก สถาพแวดล้อมทางสังคมในที่ทำงานไม่เหมาะสม ระบบพี่เลี้ยงที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมทางด้านวิชาการและทัศนคติที่ไม่เพียงพอ ขาดสวัสดิการค่าตอบแทนที่จูงใจ ขาดการมอบหมายงานที่ชัดเจน ในตอนท้ายของการศึกษานี้ได้มีการเสนอแนวทางการจัดการประเด็นปัญหาที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคและส่งผลให้การฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาในสถานประกอบการด้านธุรกิจการบริการและการท่องเที่ยวไม่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งระบุทิศทางวิจัยในอนาคตที่สอดคล้องกับการศึกษานี้เพื่อเป็นการขยายองค์ความรู้ต่อไป</p> Patthawee Insuwanno Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 1 27 การพัฒนาหลักสูตรภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเด็กปฐมวัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266939 <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการทอผ้าพื้นเมือง พัฒนาหลักสูตร และประเมินผลการใช้หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R &amp; D) โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รักษาการรองผู้อำนวยการและครูผู้สอนระดับปฐมวัย หัวหน้าฝ่ายวิชาการ ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งสิ้น 13 คน 2) ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการทอผ้าพื้นเมือง กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ ความชำนาญด้านการทอผ้าพื้นเมือง จำนวน 15 คน 3) สร้าง พัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเด็กปฐมวัย ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความสามารถด้านหลักสูตรและการสอน การศึกษาปฐมวัย การศึกษา จำนวน 5 คน 4) ประเมินผลการใช้หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กปฐมวัยอายุ 5-6 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านถ้ำเจริญ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ทั้งหมดจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมิน การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลใช้วิธีการพรรณาวิเคราะห์ค่าร้อยละ (%) และค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นมีความต้องการให้พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมือง เนื่องจากบริบทของหมู่บ้านวิถีชาวภูไทที่มีการทอผ้ามาอย่างยาวนานสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นที่สามารถนำมาสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียน 2) ชุมชนบ้านถ้ำเจริญเป็นชาวภูไทเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่สุดอพยพมาจากจังหวัดสกลนคร อำเภอวานรนิวาส อำเภอส่องดาว และอีกส่วนหนึ่งได้มีการอพยพมาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอกุฉินารายณ์ เพื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านหินโง่นจึงได้นำเอาศิลปวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกายที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ชนเผ่าภูไท คติความเชื่อที่นำเอาดอกดาวเรืองถวายพระมาถักทอเป็นผ้าพื้นเมืองเพื่อการสวนใสในชีวิตประจำวัน 3) หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมือง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 อยู่ในระดับคุณภาพดีมากมีความเหมาสม แสดงว่าเป็นหลักสูตรท้องถิ่นที่สามารถนำไปใช้ได้ และแผนการจัดประสบการณ์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 อยู่ในระดับคุณภาพดีมากมีความเหมาะสม แสดงว่าเป็นแผนการจัดประสบการณ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ 4) การประเมินผลการใช้หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเด็กปฐมวัย พบว่า ภายหลังการใช้หลังสูตรท้องถิ่นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กปฐมวัยคิดเป็นร้อยละ (%) หลังการอบรมเท่ากับ 87.67 และสูงว่าก่อนการใช้หลักสูตรท้องถิ่นเท่ากับ 60.50</p> ศุภางค์จิต กัลยาแก้ว Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 28 44 รูปแบบการพัฒนา Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264695 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของ Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา&nbsp; 2) ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบ Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษากับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) สร้างและประเมินรูปแบบการพัฒนา Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และด้านความเป็นประโยชน์ การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Method Research) มีการดำเนินงาน 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ของ Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา &nbsp;กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารและครู จำนวน 260 คน โดยใช้เกณฑ์สำหรับกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเป็น 20 เท่าของจำนวนตัวแปร ตามแนวคิดของ Hair et al., &nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และนำแบบสอบถามไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยการสุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวน 30 คน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาความเที่ยง โดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบราค (Cronbach’s alpha Coefficient) ที่มีค่าตั้งแต่ 0.7 ขึ้นไป ซึ่งค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.970 ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสร้างรูปแบบการพัฒนา Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษาและประเมินรูปแบบด้วยวิธีการสอบถามผู้ทรงคุณวุฒิโดยประเมินความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) องค์ประกอบของ Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา มี 5 องค์ประกอบหลัก 13 ตัวบ่งชี้ มี 5 องค์ประกอบ 13 ตัว ได้แก่ 1) ความท้าทายในการทำงาน มี 3 ตัวบ่งชี้ 2) การหาแบบอย่างและแรงบันดาลใจ มี 3 ตัวบ่งชี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) การยอมรับความสำเร็จ มี 3 ตัวบ่งชี้ 4) การเรียนรู้จากปัญหาและเผชิญความล้มเหลว มี 2 ตัวบ่งชี้ และ 5) การเรียนรู้จากคำวิจารณ์และข้อติชม มี 2 ตัวบ่งชี้</p> <p>2) ผลการทดสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบ Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษากับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า โมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งมีค่า X<sup>2</sup>= 24.313, df&nbsp; = 19,&nbsp; / df&nbsp; = 1.279, P-Value = 0.184, RMSEA = 0.033, SRMR = 0.023, CFI = 0.998, TLI&nbsp; = 0.991</p> <p>3) ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนา Growth Mindset ของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย ชื่อรูปแบบ หลักการแนวคิด วัตถุประสงค์ เป้าหมายสู่ความสำเร็จ และแนวทางปฏิบัติ พบว่า มีผลการปะเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> Mookrawee Pinidluek Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 45 59 การสร้างสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/262383 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสร้างสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี 2) เพื่อประเมินคุณภาพสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย และยินดีตอบแบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบไปด้วย 1) สื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี 2) แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านสื่อของสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ผลการศึกษาพบว่า การสร้างสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง MBTI เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี มีผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหา โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (X = 4.50, S.D. = .59) ผลการประเมินคุณภาพด้านสื่อ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (X = 4.63, S.D. = .49) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อสื่ออินโฟกราฟิก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.87, S.D. = .34)</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง&nbsp; บุคลิกภาพ 16 แบบ&nbsp; อินโฟกราฟิก&nbsp; MBTI</p> หฤชัย ยิ่งประทานพร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 60 72 การรับรู้สมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/259557 <p>งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาและประเมินการรับรู้สมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือในระหว่างการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ <br />กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์จำนวน 72 คน จากโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์การรับรู้สมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ one-sample t-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนการรับรู้สมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียนคือ 32.18 จากคะแนนเต็ม 36 คะแนน ( = 32.18, S.D. = 4.95) เมื่อทำการวิเคราะห์คะแนนของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า นักเรียนมีคะแนนสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่มีผลการประเมินสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของตนเองอยู่ในระดับสูง แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ยังมีการรับรู้สมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการแบ่งบทบาทหน้าที่และการกำหนดขอบเขตของงานยังไม่ชัดเจน และยังขาดการติดตามการทำงานภายในกลุ่ม</p> กิตติศักดิ์ มโนพัฒนกร ปัฐมาภรณ์ พิมพ์ทอง ศศิเทพ ปิติพรเทพิน พงศ์ประพันธ์ พงษ์โสภณ วุฒิพงษ์ ทวีวงศ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 73 89 ประเมินประสิทธิผลของสื่อการสอนสำหรับการประมาณเวลาขึ้น-ตกของดาวเคราะห์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266128 <p>ในงานวิจัยที่ผ่านมาสื่อการสอนสำหรับการประมาณเวลาขึ้น-ตกของดาวเคราะห์ (PARST) ได้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียนในเรื่องการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลการเรียนรู้ของสื่อการสอนกับนักเรียน 3 กลุ่ม ในห้องเรียน อันได้แก่ (1) กลุ่มที่ใช้เฉพาะสื่อการสอน (2) กลุ่มที่ได้รับการสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์โดยไม่ใช้สื่อการสอน (3) กลุ่มที่ได้รับการสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์และใช้สื่อการสอน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่ถูกออกแบบตามอนุกรมวิธานของบลูมได้ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินนักเรียนทั้งสามกลุ่ม โดยมีวิธีการประเมินผลจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน สี่วิธี ได้แก่ (a) การทดสอบสมมติฐาน (b) ขนาดของผล (c) ผลการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้น และ (d) ระดับความยาก การประเมินทั้งสี่วิธีแสดงผลในรูปแบบเดียวกันของความมีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่มนักเรียนที่ใช้สื่อการสอนอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ผลการวิจัยนี้สื่อเป็นนัยว่าการใช้สื่อการสอนโดยไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเวลาขึ้นและตกของดาวเคราะห์สามารถกระตุ้นให้นักเรียนพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ได้</p> Arthit Laphirattanakul Suwicha Wannawichian Pornrat Wattanakasiwich Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 90 111 ผลของการใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง ภูเขาไฟ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/266549 <p>การวิจัยเรื่อง ผลของการใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง ภูเขาไฟ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่ใช้บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการใช้บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นิสิตหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตสาขาฟิสิกส์ จำนวน 20 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ 2) แบบประเมินคุณภาพของบอร์ดเกม 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณภาพของบอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ มีความถูกต้องและเหมาะสมอยู่ในระดับดี ( = 2.89, S.D. = 0.25) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตหลังการใช้บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ สูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นิสิตมีความพึงพอใจต่อการใช้บอร์ดเกม เรื่อง ภูเขาไฟ อยู่ในระดับมาก ( = 4.23, S.D. = 0.98)</p> มารีนา มะหนิ สุวิช คงภักดี จักรี บุญละคร ประชิต คงรัตน์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 112 129 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างทักษะ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ วิชาฟิสิกส์เพิ่มเติมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/251045 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 2) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 3) ศึกษาผลการนำไปใช้ของรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และ 4) ประเมินและรับรองรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างในการทดลองใช้รูปแบบ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบสัมภาษณ์ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 6) แบบสอบถามเจตคติ และ 7) แบบประเมินและรับรองรูปแบบ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1. ครูควรปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด และที่ครูปฏิบัติจริงอยู่ในระดับปานกลาง 2. รูปแบบประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนการสอนและประเมินผล 3. ผลการใช้รูปแบบ ปรากฏผล ดังนี้ 1) (E<sub>1</sub>)/ (E<sub>2</sub>) = 87.90/83.33 2) ค่า E.I. = 0.7460 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) เจตคติของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด 4. ผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ธีระสันต์ ช่วยรักษา Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 130 145 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/253653 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท ของหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ในนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการรวมรวบข้อมูล มีค่าความสอดคล้อง (Item-Objective Congruence: IOC) เท่ากับ 0.67 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เกิน 0.852 โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) จากของสาขาวิชากายภาพบำบัด 16 สถาบัน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ได้จำนวน 244 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square test และนำเสนอค่าความเสี่ยงสัมพันธ์ด้วย odd ratio (OR) และความเชื่อมั่นที่ 95%</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นต่อภาพลักษณ์ของหลักสูตรและสถานศึกษา ด้านสถานที่ตั้งของหลักสูตรและสถานศึกษา ด้านบุคลากรหรือคณาจารย์ผู้สอน ด้านอัตราค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่าย ด้านความน่าเชื่อถือของสถานศึกษา และด้านการบริหารจัดการของหลักสูตร อยู่ในระดับมาก ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ปัจจัยด้านผลการเรียนเฉลี่ยสะสม (GPA) เพิ่มขึ้น 2.1 เท่า ปัจจัยเรื่องเวลาในการศึกษา ในเวลาราชการ มีความสนใจในการศึกษาต่อมากกว่านอกเวลาราชการ เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า ปัจจัยเรื่องค่าธรรมเนียมตลอดหลักสูตรไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อ เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</p> วนิดา แก้วชะอุ่ม Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 47 4 146 162