วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ <p><strong>EDKKUJ</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ</p> <p>ISSN: 0857-1511, E-ISSN: 2673-0847</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 0857-1511 มโนมติที่คลาดเคลื่อนของทฤษฎีทางการศึกษา: การวิพากษ์ตามมุมมองของอริสโตเติล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/267221 <p>ทฤษฎีมีบทบาทต่อการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานทางด้านการศึกษา พบว่าทฤษฎีมีบทบาทต่อการวิจัยและการปฏิบัติงานทางการศึกษาแต่ทว่านักการศึกษามักมีมโนมติที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับทฤษฎีทางการศึกษา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรื้อฟื้นทบทวนรากเหง้าของทฤษฎีทางการศึกษา เพื่อให้เกิดมโนมติเกี่ยวกับทฤษฎีทางการศึกษาที่ถูกต้อง</p> <p>ผลการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ พบว่า (1) ทฤษฎี หมายถึง กิจกรรมเชิงเหตุผลที่มีการไตร่ตรองหรือการคิดคาดคะเนที่สัมพันธ์กับความรู้อันเป็นสากล โดยที่ความรู้เกิดขึ้นจากทฤษฎีได้บรรจบแนบแน่นกับมาตรฐาน และสากลอยู่ในเทอมของนัยทั่วไปเชิงตรรกะ และไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่ (2) ทฤษฎีทางการศึกษา หมายถึง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิธีการ ทฤษฎีที่อธิบายเกี่ยวกับวิธีการเหล่านั้น และคุณค่าหรืออุดมคติของมนุษย์ (3) แหล่งมโนมติที่คลาดเคลื่อนของทฤษฎีทางการศึกษา ได้แก่ 1) ทฤษฎีไม่ได้ก่อรูปที่สัมพันธ์กับความรู้ 2) ทฤษฎีไม่ได้ก่อรูปในเทอมของสากล และ 3) กระบวนการนำทฤษฎีสู่การปฏิบัติ</p> ศานิตย์ ศรีคุณ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 1 7 การได้มาและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของเด็กปฐมวัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264107 <p>ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยพัฒนาบุคคลให้มีองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการประกอบอาชีพโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ประเทศต่าง ๆจึงต้องการให้พลเมืองของตนเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามความรู้ที่มีในการเผยแพร่นั้นส่วนใหญ่ใช้ภาษากลางที่เป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นภาษาที่สองหลักในหลายประเทศที่คนใช้มากที่สุดภาษาหนึ่ง ในประเทศไทยการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันเป็นการสอนในด้านต่างๆ คือ การฟัง พูด อ่านและเขียน โดยหลักการสอนใช้วิธีสอนแบบการอ่านเป็นคำและเป็นประโยคซึ่งเน้นการท่องจำคำศัพท์ การแปลความหมายของคำและการอ่าน ซึ่งแม้ว่าสังคมโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กไทยก็ยังคงต้องพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง บทความนี้มุ่งนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการได้มาซึ่งภาษาที่สองและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในเด็กปฐมวัย รวมถึงการจัดการเรียนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในชั้นเรียนปฐมวัยโดยครูไทย พร้อมทั้งวิธีการส่งเสริมภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองให้กับเด็กปฐมวัยและการนำเทคโนโลยีมาประกอบการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในระดับปฐมวัย</p> รวี ศิริปริชยากร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 8 23 ผลการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเป็นนวัตกร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264141 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความเป็นนวัตกร เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน โดยให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2) ศึกษาความเป็นนวัตกรของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 3) ศึกษาความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงานที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น แบบกลุ่มเดียว วัดผลหลังการทดลอง กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 33 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผนการเรียนรู้ ชุดวิดีทัศน์ประกอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง แบบประเมินผลงาน (Rubric Score) แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจหลังเรียน แบบประเมินทักษะความเป็นนวัตกร แบบประเมินความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงาน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเรียนรู้จากทักษะการปฏิบัติงานของผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.98 คิดเป็นร้อยละ 89.77 และผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 90.91 2) ความเป็นนวัตกรของผู้เรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ( =2.46, S.D=0.33) 3) ความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงาน โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ( =2.59, S.D=0.23) 4) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ( =4.64, S.D.=0.21)</p> <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความเป็นนวัตกร เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน โดยให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2) ศึกษาความเป็นนวัตกรของผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 3) ศึกษาความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงานที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น แบบกลุ่มเดียว วัดผลหลังการทดลอง กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 33 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผนการเรียนรู้ ชุดวิดีทัศน์ประกอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์ดินสอพอง แบบประเมินผลงาน (Rubric Score) แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจหลังเรียน แบบประเมินทักษะความเป็นนวัตกร แบบประเมินความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงาน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเรียนรู้จากทักษะการปฏิบัติงานของผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.98 คิดเป็นร้อยละ 89.77 และผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 90.91 2) ความเป็นนวัตกรของผู้เรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=2.46, S.D=0.33) 3) ความเป็นนวัตกรรมของชิ้นงาน โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=2.59, S.D=0.23) 4) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.64, S.D.=0.21)</p> ธีรนัย เฉลิมวงศ์ ศิริพงษ์ เพียศิริ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 24 41 โปรแกรมการพัฒนาทักษะด้านการสร้างบทเรียนด้วยเทคโนโลยี สำหรับครูการศึกษาพิเศษ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264300 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1. สร้างและตรวจสอบคุณภาพโปรแกรมการพัฒนาทักษะด้านการสร้างบทเรียนด้วยเทคโนโลยี สำหรับครูการศึกษาพิเศษ และ 2. ทดลองใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะด้านการสร้างบทเรียนด้วยเทคโนโลยี สำหรับครูการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่างเป็นครูการศึกษาพิเศษ ในเขตจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบทีแบบไม่อิสระ</p> <p>ผลการศึกษา สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการสร้างและตรวจสอบคุณภาพโปรแกรมฯ พบว่า โปรแกรมฯ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ โครงสร้างเนื้อหา วิธีการสอน และการวัดและประเมินผล โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งผลการประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมฯ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน พบว่า มีระดับความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด 2. ผลการทดลองใช้โปรแกรมฯ พบว่า 1) ทักษะด้านการสร้างบทเรียนด้วยเทคโนโลยี สำหรับครูการศึกษาพิเศษ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูการศึกษาพิเศษที่มีต่อโปรแกรมฯ พบว่า มีระดับความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> อนุชา ภูมิสิทธิพร ศิริวิมล ใจงาม สุวพัชร์ ช่างพินิจ บุญล้อม ด้วงวิเศษ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 42 56 การพัฒนานิเวศการเรียนรู้ดิจิทัลที่ส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลตามแนวทางการจัดการเรียนรู้กระบวนทัศน์ใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/265099 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนานิเวศการเรียนรู้ดิจิทัลที่ส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลตามแนวทางการจัดการเรียนรู้กระบวนทัศน์ใหม่ 2) เพื่อศึกษาการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้เรียน 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองโนอีดำ 12 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ นิเวศการเรียนรู้ดิจิทัลฯ แบบวัดความรู้เท่าทันดิจิทัล&nbsp; แบบประเมินผลงานในการรู้เท่าทันดิจิทัล&nbsp; แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐานและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสรุปตีความและบรรยายเชิงวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;1) การออกแบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัลฯ มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) สถานการณ์ปัญหา (2) ส่วนเรียนรู้&nbsp; (3) ส่วนเรียนรู้ร่วมกัน (4) ส่วนช่วยเหลือผู้เรียนและ (5) คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) การรู้ดิจิทัลของผู้เรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย 32.83 คิดเป็นร้อยละ 76.35&nbsp; และจำนวนผู้เรียนที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 83.33&nbsp; ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 70 ของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ 70 เปอร์เซ็นต์ของคะแนนเต็ม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ย 15.82 ผู้เรียนที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 75.00</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 4) ความคิดเห็นของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีความเห็นว่าสถานการณ์ปัญหาบนนิเวศการเรียนรู้ฯ ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาคำตอบ ภารกิจการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับสภาพจริง เนื้อหาบนนิเวศการเรียนรู้ฯมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง&nbsp; และมีเครื่องมือที่เหมาะสมที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี</p> ตรีทิพพา แก้วหานาม อนุชา โสมาบุตร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 57 75 การส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียนของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูคณิตศาสตร์ด้วยการนิเทศแบบสอนงานและการให้คำปรึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/263757 <p>การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการนิเทศแบบสอนงานและการให้คำปรึกษาในการส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียนและประเมินสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียนของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบพหุกรณีศึกษา (Multi Case Study Research) มีกรณีศึกษาจำนวน 6 คน คือ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่ฝึกประสบการณ์ภาคสนาม ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 3 โรงเรียนในจังหวัด สุราษฎร์ธานี เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบประเมินสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียน และการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยกรอบการวิเคราะห์ที่สังเคราะห์ขึ้นจากคู่มือการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ สุราษฎร์ธานีปีการศึกษา 2562 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การบรรยายเชิงวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัย คือ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการนิเทศแบบสอนงานและการให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียนสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สามารถสรุปเป็น 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย <em>ขั้นที่ </em><em>1 </em><em>การเตรียมการก่อนการทำวิจัย </em><em>(</em><em>Design) </em><em>ขั้นที่ </em><em>2 </em><em>การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน</em><em> (</em><em>Practice) </em><em>ขั้นที่ </em><em>3 </em><em>การสะท้อนผลหลังการสอน</em><em> (</em><em>Feedback) </em><em>และ ขั้นที่ </em><em>4 </em><em>การปรับปรุงและพัฒนาการสอน</em><em> (Revise) </em>และผลการประเมินสมรรถนะการวิจัยชั้นเรียนของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ พบว่า นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ทั้ง 6 คน มีสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนอยู่ในระดับดี</p> ธัญญา กาศรุณ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 76 88 การพัฒนาทักษะการเขียนและการอ่านตัวอักษรฮิระงะนะเสียงพิเศษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 3Ps https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/264066 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียนและการอ่านตัวอักษรฮิระงะนะเสียงพิเศษให้มีประสิทธิภาพ (E1/E2) ตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการแบบ 3Ps กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 36 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการจำนวน 4 วงจร โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบทดสอบย่อย 3) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่ แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐาน t-test dependent samples ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบ 3Ps มีประสิทธิภาพ 73.26/73.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์ในการสอนวิธีการเขียนและการอ่านตัวอักษรฮิระงะนะเสียงพิเศษสำหรับผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นระดับต้น </p> ธนิส พูนวงศ์ประเสริฐ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 89 104 การพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา โดยจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง รายวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/265337 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) ที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง) ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผนการเรียนรู้ ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 14 ชั่วโมง แบบประเมินผลงาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สื่อวีดิทัศน์ประกอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่อง การขึ้นรูปดินด้วยวิธีการขด และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น โดยมีรูปแบบกลุ่มเดียววัดผลครั้งเดียว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) ที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 95.50 2) ผลการพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 86.67 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 แปลผลได้ว่าอยู่ในระดับคุณภาพ มากที่สุด<strong> </strong></p> เอกพล เขียวปาน Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 105 122 การพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/263596 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมคู่มือการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ 2) ศึกษาผลการฝึกอบรมการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ ผู้แทนผู้บริหารหรือรองผู้อำนวยการจำนวน 16 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการจำนวน 12 คน หัวหน้ากลุ่มสาระ จำนวน 32 คน รวมจำนวน 60 คน ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบอาสาสมัคร (Voluntary Selection) เป็นตัวแทนจากโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ 2) แบบประเมินความสามารถการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนานวัตกรรมได้คู่มือการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามกรอบสมรรถนะการเรียนรู้โรงเรียนนำร่องพื้นที่วัตกรรมการศึกษา จังหวัดกาญจนบุรีร่วมกับภาคีเครือข่าย มีองค์ประกอบสำคัญ จำนวน 6 บท ได้แก่ บทที่ 1 สาระสำคัญการออกแบบสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก บทที่ 2 การสร้างความเข้าใจหลักการเรียนรู้ (Making knowledge) บทที่ 3 การขยายความสู่เป้าหมายการเรียนการสอน (Expanding) บทที่ 4 การออกแบบตามขั้นตอนธรรมชาติวิชา (Designing) บทที่ 5 การนำไปใช้สอนให้เกิดคุณค่าแก่ผู้เรียน (Instructing) และบทที่ 6 การพากเพียรประเมินผลการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (Assessing) ซึ่งมีการทบทวนคู่มือและปรับแก้ไขด้วยเทคนิคชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อให้นวัตกรรมมีความเหมาะสมต่อการนำไปใช้ในโรงเรียนนำร่องต่อไป 2) ผลการฝึกอบรม พบว่า 2.1) ผู้แทนโรงเรียนมีความรู้ ความเข้าใจการพัฒนาสื่อและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เฉลี่ยร้อยละ 71.91 สูงกว่าเกณฑ์ที่ทางคณะผู้วิจัยได้กำหนดไว้และสามารถออกแบบสื่อและการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม 2.2) ผลการประเมินความสามารถการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี</p> พัสสกรณ์ วิวรรธมงคล กรัณย์พล วิวรรธมงคล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 123 138 การศึกษาสภาพและปัญหากระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ของนิสิตสาขาวิชาภาษาไทยกับสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/263429 <p>การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพและปัญหาในการเรียนออนไลน์ของนิสิตสาขาวิชาภาษาไทยกับสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นิสิตสาขาวิชาภาษาไทยกับสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 91 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-Test ผลการวิจัยพบว่า นิสิตสาขาวิชาภาษาไทยกับสาขาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีสภาพและปัญหาการเรียนออนไลน์อยู่ใน ระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.63, S.D.= .03) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างพบว่า นิสิตสาขาวิชาภาษาไทยกับสาขาวิชาภาษาอังกฤษมีสภาพปัญหาการเรียนออนไลน์ไม่แตกต่างกัน</p> สิริกาณณ์ ทองมาก Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 139 147 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยม เพื่อพัฒนาค่านิยมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/260415 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยม เพื่อพัฒนาค่านิยมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมไทยกับประชาคมอาเซียนในโลกปัจจุบันด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยม เพื่อพัฒนาค่านิยมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนค่านิยมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยม และ 5) เพื่อประเมินและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จำนวน 25 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินค่านิยม และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกระจ่างค่านิยม เพื่อพัฒนาค่านิยม ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์กระบวนการจัดการเรียนรู้ เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ และผลที่เกิดกับผู้เรียน มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ค้นหาค่านิยม (2) ตรวจสอบค่านิยมตนเอง (3) ตรวจสอบค่านิยมของสังคม (4) กำหนดกฎเกณฑ์ และ (5) ปฏิบัติตามค่านิยม</p> <p> 2) คะแนนทดสอบผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3) คะแนนค่านิยมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 4) ความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> 5) ผลการประเมินและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ประสิทธิ์ คำพล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 148 158 Is Blended Learning in The Students’ Favor? Exploring Thai First-Year Students’ Readiness to Learn English through Blended Learning https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/256778 <p>It is crucial for the successful implementation of blended learning to understand students' attitudes towards the various aspects of learning. This study is aimed to evaluate students’ readiness and investigate the benefits and challenges of learning English through blended learning of 322 first-year undergraduate students in their second semester of the 2021 academic year at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Mai, Thailand. The data collection instruments were a questionnaire developed from Tang and Chaw's (2013) six dimensions of learning readiness, and a semi-structured interview regarding the benefits and challenges of blended learning. Means and standard deviations were used to analyze levels of readiness from the questionnaire. According to the study results, the participants believed that classroom learning was more beneficial than online learning. Although the results indicated that the participants were not ready to study independently, they valued the flexibility of online learning. It is suggested that learners with positive views toward learning flexibility are more likely to adapt to blended learning. Nonetheless, various factors contributing to the difficulty of implementing blended learning, such as low motivation, lack of self-discipline, internet connection, and workload, should also be considered to offer learners the opportunity to adapt to blended learning.</p> Kanitta Lungkapin Pristsana Koonnala Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 159 179 ผลของการใช้โปรแกรม Moodle ในการอบรมออนไลน์ เรื่องความปลอดภัยในการใช้ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/260702 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ เรื่องความปลอดภัยในการใช้ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ โดยใช้โปรแกรม Moodle และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางความรู้และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่อบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ และฝึกอบรมแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต และวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จำนวน 100 คน ได้มาโดยการสมัครใจเข้าร่วมการฝึกอบรม และใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน ดังนี้ กลุ่มควบคุม ได้รับการฝึกอบรมแบบปกติ และกลุ่มทดลอง ได้รับการอบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ เครื่องมือในการทดลอง คือ หลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ ซึ่งพัฒนาตามหลักการของ ADDIE model เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางความรู้ของการฝึกอบรม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 และแบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.86 โดยทั้ง 2 ฉบับมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60-1.00</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (𝑥̅=4.77, S.D.=0.11) และมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 1.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของเมกุยแกนส์ (Meguigans) โดยผลสัมฤทธิ์ทางความรู้ของนักศึกษากลุ่มทดลองที่อบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ มีคะแนนเฉลี่ย (𝑥̅=19.22, S.D.=0.93) ซึ่งสูงกว่านักศึกษากลุ่มควบคุมที่ฝึกอบรมแบบปกติ (𝑥̅=18.08, S.D.=1.31) ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และนักศึกษามีระดับความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.30, S.D.=0.68) โดยมีความพึงพอใจไม่แตกต่างกับการอบรมแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> กรรณิการ์ ภาสดา กาญจนา สุรีย์พิศาล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 178 193 กิจกรรมการส่งเสริมสมาธิของเด็กสมาธิสั้นตามแนวทางวิถีพุทธ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDKKUJ/article/view/265277 <p>สมาธิสั้นเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองทำให้มีความบกพร่อง ในการควบคุมสมาธิและการแสดงออกทางพฤติกรรม โดยเริ่มแสดงออกอาการตั้งแต่ในวัยเด็ก และมักเป็นต่อเนื่องไปจนถึงวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่อาการของโรคสมาธิสั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย แต่พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งจะลดลงเมื่อโตขึ้น หากได้รับการรักษาช่วยเหลือที่ดี อาการความผิดปกติที่เป็นจะลดน้อยลง ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้อื่นได้ เด็กสมาธิสั้นต้องอาศัยการช่วยเหลือหลายวิธีร่วมกันที่สำคัญได้แก่ ครู หมอ พ่อแม่ ที่จะต้องวางแผนฝึกฝน สั่งสอน และพาปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อให้เด็กสมาธิสั้นได้อยู่กับผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ ดังเช่น กิจกรรมการส่งเสริมสมาธิของเด็กสมาธิสั้นตามแนวทางวิถีพุทธ ที่ประกอบด้วย 1) การทำบุญใส่บาตร 2) การจัดเรียงภัตราหารถวายพระสงฆ์ 3) การเดินจงกรมรอบวัด 4) การกราบแบบเบญจาคประดิษฐ์ 5) การสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมสมาธิเด็กสมาธิสั้น และยังเป็นกิจกรรมที่ได้พัฒนาทางสังที่งดงามอีกด้วย</p> เจริญขวัญ ศรีพันธ์ชาติ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-30 2024-03-30 47 1 194 201