https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/issue/feed วารสารนวัตกรรมและวิทยาการเรียนรู้ 2025-08-06T16:37:22+07:00 Assist.prof. Dr. Parama Kwangmuang, Ph.D. edgkkuj@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารนวัตกรรมและวิทยาการเรียนรู้</strong> จัดทำขึ้นเพื่อ เผยแพร่ 1) นวัตกรรมการเรียนรู้ 2) วิทยาการด้านการศึกษา 3) การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต 4) การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/article/view/278927 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2025-06-12T14:18:30+07:00 Mali Testham testhammali@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) สร้างและพัฒนา 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนเวียงสะอาดพิทยาคม ห้อง 2/1 จำนวน 27 คน โดยการเลือกสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1. ผลการวิเคราะห์การจัดการเรียนรู้สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับน้อย และสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ มีองค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge : A) ขั้นที่ 2 เผชิญปัญหา (Problem Situation : P) ขั้นที่ 3 การลงมือกระทำ (Action : A) ขั้นที่ 4 การสร้างองค์ความรู้ (Construction : C) ขั้นที่ 5 การวัดและประเมินผล (Evaluation : E) ขั้นที่ 6 สะท้อนผล (Feedback : F) คือ APACEF Model 4) การวัดและประเมินผล และ 5) ผลป้อนกลับ 3. ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังนี้ 3.1 ประสิทธิภาพของรูปแบบ เท่ากับ 81.71/80.75 ค่าดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบ เท่ากับ 0.7226 3.2 ผลการวิเคราะห์แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด 4. การประเมินและรูปแบบฯ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/article/view/278863 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับแนวคิดการสืบเสาะหาความรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2025-05-20T22:57:51+07:00 Chattiporn Rattanamalee chattiporn2025@gmail.com <p>ในยุคการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมดิจิทัลและ Thailand 4.0 การพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะวิชาเคมีมีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม ผลการเรียนรู้ยังไม่น่าพอใจ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการทฤษฎีการสร้างความรู้ การสืบเสาะหาความรู้ และเทคโนโลยีดิจิทัล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ สร้างและพัฒนา ทดลองใช้ และประเมินปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับแนวคิดการสืบเสาะหาความรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา 4 ระยะตามวัตถุประสงค์ ดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ๑ จำนวน 27 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบประเมิน และแบบวัดต่างๆ วิเคราะห์ข้อมูลแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่าสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.20) ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.77) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น "APACIEF-DAS Model" มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีประสิทธิภาพ 81.94/81.85 ค่าดัชนีประสิทธิผล 0.7201 นักเรียนร้อยละ 85.19 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการแก้ปัญหา และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 และมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด APACIEF-DAS Model เป็นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลกับทฤษฎีการสร้างความรู้และการสืบเสาะอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา และสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 และการขับเคลื่อนสู่สังคมดิจิทัล</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/article/view/278882 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ไขปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ วิชาเคมีเพิ่มเติม เรื่อง เคมีไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2025-05-27T15:28:33+07:00 Auraiwan Boonsrithum boonsrithum999@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ไขปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ วิชาเคมีเพิ่มเติม เรื่อง เคมีไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) ทดลองใช้รูปแบบฯ 4) ประเมินและรับรองรูปแบบฯ ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 5/1 โรงเรียนนาข่าวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการแก้ไขปัญหา และแบบสอบถามเจตคติ การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ โดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสาร ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลพื้นฐานสภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบฯ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการเรียนการสอน มี 5 ขั้น ได้แก่ กำหนดปัญหา (Define the Problem:D) ความเข้าใจปัญหา (Understand the Problem:U) ดำเนินการศึกษาค้นคว้า (Experiment: E) สังเคราะห์ความรู้ (Synthesis the Knowledge: S) และสรุปและประเมินค่าของคำตอบ (Summary &amp; Evaluation: S)&nbsp; และการวัดและประเมินผลs หรือ “DUESS Model” 3) ผลการใช้รูปแบบฯ พบว่า ค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.27/82.18 ดัชนีประสิทธิผล มีค่าเท่ากับ 0.7249 ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบฯอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินและรับรองรูปแบบฯ ระดับความเหมาะสมมากที่สุด</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/article/view/279799 ผลการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 2025-06-12T20:01:54+07:00 สมปอง ไชยเทพา schaitepa@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/8 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 (3) ศึกษาความพึงพอใจของสำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านโคกเต่า สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาข่า จำนวน 1 ห้องเรียน รวมนักเรียนจำนวน 11 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ (1) แผนการจัดประสบการณ์ (2) แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (3) แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (4) แบบวัดความพึงพอใจของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการหาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 84.80 / 84.38 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ มีค่าเท่ากับ 0.7340 คิดเป็นร้อยละ 73.40 3) เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2มีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDGKKUJ/article/view/279029 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติร่วมกับแบบฝึกทักษะปฏิบัติ รายวิชาการงานอาชีพ เพื่อส่งเสริมทักษะการทำงานและการทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2025-05-18T00:14:55+07:00 สมศักดิ์ ผิวผ่อง ssomsak2025@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติร่วมกับแบบฝึกทักษะปฏิบัติ รายวิชาการงานอาชีพ เพื่อส่งเสริมทักษะการทำงานและการทำงานเป็นทีม 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และ 4) ประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบึงไทรพิทยาคม จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 15 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และผลป้อนกลับ โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การรับรู้ (Perception : P) ขั้นที่ 2 การเตรียมความพร้อม (Preparedness : P) ขั้นที่ 3 การวางแผน (Planning : P) ขั้นที่ 4 การปฏิบัติ (Execution : E) ขั้นที่ 5 การพัฒนาทักษะ (Development : D) ขั้นที่ 6 การสร้างสรรค์ (Inventive : I) ขั้นที่ 7 การนำเสนอ (Presentation : P) &nbsp;หรือเรียกว่า "3P-EDIP MODEL" ผลการทดลองใช้รูปแบบฯ พบว่า มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับ 83.19/82.81 มีดัชนีประสิทธิผล 0.7027 โดยนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 จำนวน 12 คน ในการประเมินทักษะปฏิบัติ และ 13 คน ในการวัดทักษะการทำงานและการทำงานเป็นทีม ความพึงพอใจของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินและรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด</p> 2025-08-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025