วารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI <p><span lang="TH">วารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคม เริ่มจัดทำขึ้น ในปี พ.ศ.2537 โดยศูนย์วิจัยและบริการการศึกษาเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปและเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนประสบการณ์การวิจัยต่อมาในปี พ.ศ.2547ได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีจึงตั้งเป็นสถาบันวิจัยละพัฒนาโดยมีการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยปีละ 2 ฉบับ ปัจจุบันวารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคมเป็นฉบับที่ 22 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านของรูปเล่มรูปแบบการเขียน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของวารสารโดยทั่วไปและสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและภารกิจของมหาวิทยาลัยราชภัฏ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเข้มแข็งโดยมุ่งเน้นบทความวิจัยที่พัฒนาชุมชนท้องถิ่น</span><span lang="TH"> </span></p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและบุคลากรท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> journal.rdi@dru.ac.th (ดร.พรศิริ กองนวล) journal.rdi@dru.ac.th (ว่าที่ร้อยตรี จิรโรจน์ ธรรมสโรช) Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การทดสอบประสิทธิภาพชุดเสริมสร้างความตระหนัก ในการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/268853 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างชุดเสริมสร้างความตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2) เพื่อหาประสิทธิภาพชุดเสริมสร้างความตระหนักในการป้องกัน การตั้งครรภ์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 3) เพื่อหาคุณภาพชุดเสริมสร้างความตระหนักในการป้องกัน การตั้งครรภ์ของนักเรียนมัธยมชั้นศึกษาตอนต้น และ 4) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินคุณภาพ ชุดการสอน คู่มือวัยรุ่นยุคดิจิทัล รู้ทันเรื่องเพศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้มาโดยวิธีการสุ่ม จำนวน 1 กลุ่ม 16 คน และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คนโดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติพื้นฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า จากการหาประสิทธิภาพของชุดเสริมสร้างเท่ากับ 87.85/92.01 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แสดงว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีความตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์&nbsp;&nbsp; เพิ่มขึ้นหลังเรียนด้วยชุดเสริมสร้างนี้ ผลการประเมินคุณภาพด้านประสิทธิภาพทางการสอนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.53 อยู่ในระดับดีมาก ด้านคู่มือคู่มือวัยรุ่นยุคดิจิทัล รู้ทันเรื่องเพศมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.20 อยู่ในระดับดี และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังด้วยชุดเสริมสร้างความตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สุมณฑา โพธิบุตร, อัญชลี จิตราภิรมย์, ศิมาภรณ์ พวงสุวรรณ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/268853 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนากลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/267615 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเรื่องนี้เพื่อ 1) การพัฒนากลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) การติดตามผลการพัฒนาและ 3) เผยแพร่การพัฒนาดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายคือ เกษตรกรในชุมชนบ้านช้าง ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามความสมัครใจ จำนวน 30 คน พบว่า การพัฒนากลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐาน คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการโดยชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งในกระบวนการอบรมเชิงปฏิบัติการนั้น มีการถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยการสนทนากลุ่ม รวมกลุ่ม และการจัดตั้งกลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างโรงเรือนเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง สำหรับประกอบอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ผลการติดตามการพัฒนากลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐาน พบว่า เกษตรกรในชุมชนบ้านช้าง จำนวน 30 คน จากการอบรมเชิงปฏิบัติการเกิดการจัดตั้งกลุ่มและรวมกลุ่มกันสร้างโรงเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง ทำให้มีรายได้เสริมต่อเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และการเผยแพร่การพัฒนากลุ่มเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานชุมชนบ้านช้าง สามารถขยายผลไปยังเกษตรกรรายอื่นที่ความสนใจในการสร้างอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน</p> กนกนาฏ พรหมนคร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/267615 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาต้นแบบการให้บริการนวดตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก เพื่อสร้างเสริมลักษณะการผ่อนคลาย : การศึกษาเชิงพฤติกรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/267629 <p>Thai massage is a type of traditional therapy based on the principles of the Tripitaka scriptures which are part of Thai culture. Along with health care, it has been used to promote healthy behavior. According to modern medical science this study aims to study the mechanisms of brain function. This research aims to examine the mechanisms underlying brain function, and characteristics of behavioral relaxation. It focuses on comparing foot and shoulder massage techniques that influence relaxing qualities.&nbsp; Additionally, to support the Tripitaka's scriptures' massage model for encouraging relaxation. This study employed a hybrid methodology that combined quantitative and qualitative techniques. Data were collected using questionnaires and interviews with a reliability score of 0.978 by providing participants with self-evaluation surveys. Semi-structured interviews were employed for the interviews. Both content data and statistical data need to be analyzed. Utilizing fundamental statistics such as quantity, percentage, mean, and standard deviation.</p> <p>The important results were as follows: (1) overall relaxed nature is the highest level (mean = 4.71). While comparing the highest to lowest average; Item 6 Service recipients believe that foot massage is good and beneficial, especially in creating a feeling of relaxation (mean = 4.80); Item 1 Believes that the feeling of relaxation in both the body and mind (mean = 4.77); Item 10 Massage with wisdom should be widely disseminated to create a feeling of relaxation among the people (mean = 4.73), respectively. (2) Characteristics of behavioral relaxation were found that users of foot massages were more relaxed than users of shoulder massages, it was believed that massage helps increase blood circulation throughout the body, foot massage method (mean = 4.58); shoulder massage method (mean = 4.38). (3) Both foot massage and shoulder massage were effective at improving the body's circulation as a form of massage that can induce relaxed. Massage influenced a sense of calm and was connected to the brain's systems and functions. Therefore, Thai massage is a complementary medical procedure for promoting physical and mental calm. It is a method of treatment based on the principles of Buddhist scriptures, Thai traditional medicine, and medical science.</p> <p>&nbsp;</p> วีรชัย คำธร, ขัตติยะ ภุมรินทร์ , เอกภัทร อภิฉนฺโท Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/267629 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาน้ำสลัดและแซนวิชสเปรดจากน้ำส้มสายชูกล้วย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/269043 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการหมักน้ำส้มสายชูจากกล้วยน้ำว้าที่เหมาะสมกับวิสาหกิจชุมชน 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำสลัดและแซนวิชสเปรดที่ใช้น้ำส้มสายชูกล้วยน้ำว้าเป็นส่วนผสม 3) ศึกษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้น และ 4) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่วิสาหกิจชุมชนและผู้สนใจทั่วไป ผลการวิจัยพบว่า ส่วนผสมสำหรับหมักเอทิลแอลกอฮอล์ที่เหมาะสม ประกอบด้วย เนื้อกล้วยสุกงอมสับละเอียด 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 4 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม กรดซิตริก 10 กรัม ยีสต์ผงสำหรับหมักไวน์ทางการค้า 1.25–1.5 กรัม หมักที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 9 วัน จะได้ความเข้มข้นเอทิลแอลกอฮอล์ 10.2% และส่วนผสมสำหรับหมักน้ำส้มสายชูในถาดประกอบด้วย เนื้อกล้วยสุกสับละเอียดผสมน้ำที่อัตราส่วน 1:4 ปริมาณ 600 มิลลิลิตร หัวเชื้อน้ำส้มสายชู 100 มิลลิลิตร และน้ำหมักแอลกอฮอล์จากกล้วย 1,300 มิลลิลิตร หมักที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 7 วัน ได้น้ำส้มสายชูกล้วยน้ำว้าที่มีปริมาณกรดอะซิติกโดยเฉลี่ย 5.05% ผลิตภัณฑ์น้ำสลัดที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย น้ำส้มสายชูจากกล้วย 75 กรัม น้ำตาลทราย 80 กรัม เกลือป่น 5 กรัม พริกไทยป่น 3 กรัม มัสตาร์ด 5 กรัม ไข่แดง 2 ฟอง และน้ำมันถั่วเหลือง 225 กรัม ได้รับคะแนนความชอบโดยรวมในระดับชอบมาก (7.75 ± 0.63) และผลิตภัณฑ์แซนวิชสเปรด ประกอบด้วย น้ำสลัด ร้อยละ 82 แตงกวาดอง ร้อยละ 13 และแครอทดอง ร้อยละ 5 ได้รับคะแนนความชอบโดยรวมในระดับชอบปานกลาง (7.46 ± 0.84) ผลการวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ พบว่า ทั้งสองผลิตภัณฑ์มีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐาน การดำเนินงานการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต มีผลการประเมินความพึงพอใจโดยภาพรวมต่อการการจัดอบรมในระดับมากที่สุด (4.70 ± 0.47)</p> นวลระหง เทพวิวัฒน์จิต Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/269043 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการตลาดธุรกิจเชิงสร้างสรรค์และเทคโนโลยี คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/268674 <p>การวิจัยเรื่อง การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการตลาดธุรกิจเชิงสร้างสรรค์และเทคโนโลยีคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาการตลาดธุรกิจ<br>เชิงสร้างสรรค์และเทคโนโลยี คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยการวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Method) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) ซึ่งผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้ที่สนใจศึกษาต่อระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต จำนวน 400 ราย และข้อมูลเชิงคุณภาพได้รับจากการสัมภาษณ์กลุ่มเจ้าของสถานประกอบการหรือผู้บริหารในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมดนตรีและบันเทิง และนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมดนตรีและบันเทิง จำนวน 4 ราย และผู้บริหารคณะดุริยางคศาสตร์ 4 รายจากผลการศึกษาทั้งในมิติของเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สรุปได้ว่า มีความเป็นไปได้ในการเปิดหลักสูตร เนื่องจากความคิดเห็นของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบันเทิงและผู้ตอบแบบสอบถามกว่าร้อยละ 85 มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากเล็งเห็นความพร้อมในการจัดการสอนในด้านต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และเสนอให้มีรายวิชาที่ควรมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับ การบ่มเพาะนวัตกรรม กลยุทธ์การบริหารธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ นวัตกรรมสุนทรียฤทธิ์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ สัมมนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยาการวิจัยขั้นสูงเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการศึกษาดูงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นวัตกรรม และสุนทรียฤทธิ์</p> นุกูล แดงภูมี Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/268674 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยที่พักรักษาตัว ในโรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/269059 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Quasi-experimental design one group) แบบ 1 กลุ่มวัดผลก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการป้องกันพลัดตกหกล้ม มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ และพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยสามัญ ๒ จำนวน 52 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงและหยิบฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการพลัดตกหกล้ม แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม และโปรแกรมการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลมะเร็ง สุราษฎร์ธานี ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหา (content validity index: CVI) เท่ากับ 0.97, 0.88, 0.87 และ 0.87 ตามลำดับ ส่วนค่าความเที่ยงตรงของการวัดโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค (Cronbach′s Alpha Coefficient) ของแบบประเมินความรู้และแบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ได้ค่า Reliability เท่ากับ 0.86 และ 0.89 ตามลำดับ ผลการวิจัย พบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้และพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ก่อนและหลังได้รับโปแกรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนทดลองกับหลังทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;.01 ซึ่งหลังทดลอง (mean=59.884, SD=3.221) กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้สูงกว่าก่อนทดลอง (mean=47.846, SD=10.677) และค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม พบว่าก่อนทดลองและหลังทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;.01</p> อัญญารัตน์ มุสิกะ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/269059 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700 รายงานการวิจัยติดตามและประเมินคุณลักษณะผู้เรียนตามกรอบผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติระดับปฐมวัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/265708 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินคุณลักษณะผู้เรียนตามกรอบผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 2) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 และ3) นำเสนอแนวทางการจัดการศึกษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 มีการวิจัยเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อประเมินคุณลักษณะผู้เรียนและศึกษาสภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ครู/คณาจารย์ 540 คน ผู้บริหาร 190 คน กรรมการสถานศึกษา 190 คน ผู้ปกครอง 340 คนรวม 1,260 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถามจำนวน 4 ฉบับ สำหรับครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง กรรมการสถานศึกษา ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อประเมินคุณลักษณะผู้เรียน ศึกษาสภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และศึกษาแนวทางการการจัดการศึกษา ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 25 คนโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือ ได้แก่ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม 2 ฉบับ การวิเคราะห์ด้วยการใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะผู้เรียน <em>(1) </em><em>คุณลักษณะด้าน</em><em>ร่างกาย</em>&nbsp; (<em>2)</em> <em>คุณลักษณะด้านอารมณ์และจิตใจ</em> (<em>3) คุณลักษณะด้านสังคม</em> และ <em>(4) คุณลักษณะด้านสติปัญญา</em> มีพัฒนาการอยู่ในระดับมาก 2)&nbsp; สภาพการบริหารจัดการของสถานศึกษา <em>(</em><em>1) ด้านนโยบายและกลยุทธ์การจัดการศึกษา (2) ด้านหลักสูตร</em> <em>(</em><em>3) ด้านการจัดการเรียนการสอน</em> (<em>4) ด้านสื่อและเครือข่ายการเรียนรู้</em> (<em>5) ด้านการวัดและประเมินผล</em> <em>(</em><em>6) ด้านการพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา</em> <em>(7) ด้านการส่งเสริมสนับสนุนของต้นสังกัด</em> <em>(8) ด้านภาคีเครือข่าย</em> และ <em>(9) ด้านการบริหารจัดการและการบูรณาการการจัดการศึกษา</em> สถานศึกษามีการบริหารจัดการ โดยดำเนินการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกด้าน และ 3) แนวทางการจัดการศึกษา รัฐบาลหรือหน่วยงานที่จัดการศึกษาเน้นการเตรียมความพร้อมควรบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายในการพัฒนาเด็กร่วมกันอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง</p> นงเยาว์ อุทุมพร Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/265708 Thu, 27 Jun 2024 00:00:00 +0700