วารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคม
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI
<p><span lang="TH">วารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคม เริ่มจัดทำขึ้น ในปี พ.ศ.2537 โดยศูนย์วิจัยและบริการการศึกษาเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปและเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนประสบการณ์การวิจัยต่อมาในปี พ.ศ.2547ได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีจึงตั้งเป็นสถาบันวิจัยละพัฒนาโดยมีการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยปีละ 2 ฉบับ ปัจจุบันวารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคมเป็นฉบับที่ 22 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านของรูปเล่มรูปแบบการเขียน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของวารสารโดยทั่วไปและสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและภารกิจของมหาวิทยาลัยราชภัฏ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเข้มแข็งโดยมุ่งเน้นบทความวิจัยที่พัฒนาชุมชนท้องถิ่น</span><span lang="TH"> </span></p>
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
th-TH
วารสารวิจัยราชภัฏธนบุรี รับใช้สังคม
2697-3944
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีและบุคลากรท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
กลยุทธ์การตลาด 4E’s และภาพลักษณ์ตราสินค้าที่มีผลต่อ การตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/274126
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับกลยุทธ์การตลาด 4E’s ภาพลักษณ์ตราสินค้าและการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี 2) ศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาด 4E’s ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และ 3) ศึกษาอิทธิพลของภาพลักษณ์ตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวและเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับกลยุทธ์การตลาด 4E’s ภาพลักษณ์ตราสินค้าและการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีโดยรวมอยู่ระดับมาก 2) กลยุทธ์การตลาด 4E’s ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ3) ภาพลักษณ์ตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของฝากประเภทขนมหวานของนักท่องเที่ยวชาวไทยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
กรรธร เอมนุกูลกิจ
โสภาพร กล่ำสกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
16A
-
การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าเพื่อสื่อสารอัตลักษณ์สินค้า ชุมชนฝั่งธนบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/275489
<p>โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ชุมชนฝั่งธนบุรี 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าผลิตภัณฑ์ 3) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้งานวิจัยในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าแก่วิสาหกิจชุมชน โดยการวิจัยได้เลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Method Research) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นวิสาหกิจชุมชนจำนวน 10 แห่งในพื้นที่ฝั่งธนบุรี และประชากรกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 400 คน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ผลการวิจัยพบว่า การประเมินความพึงพอใจการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าเพื่อสื่อสารอัตลักษณ์สินค้าชุมชนฝั่งธนบุรี ทั้งหมด 5 ด้าน คือ ด้านหน้าที่ใช้สอย ด้านความงาม ด้านความปลอดภัย ด้านความยั่งยืนและด้านการตลาด พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด ได้แก่ 1) ด้านความปลอดภัย มีค่าเฉลี่ย 4.09, S.D. = 0.81 อยู่ในระดับมาก 2) ด้านความงาม มีค่าเฉลี่ย 4.06, S.D. = 0.82 อยู่ในระดับมาก 3) ด้านความยั่งยืน มีค่าเฉลี่ย 4.05, S.D. = 0.83 ระดับมาก 4) ด้านหน้าที่ใช้สอย มีค่าเฉลี่ย 4.04, S.D. = 0.79 ระดับมาก และ 5) ด้านการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.01, S.D. = 0.84 อยู่ในระดับมาก มีการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้กับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในของชุมชน รวมถึงสร้างรายได้และงานให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน นอกจากจะช่วยส่งเสริมการตลาดและการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการรักษาและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยการวิจัยนี้ได้ผลลัพธ์ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในบริบทของชุมชนฝั่งธนบุรี</p> <p>คำสำคัญ <strong>:</strong> บรรจุภัณฑ์, ตราสินค้า, สื่อสารอัตลักษณ์, ชุมชนฝั่งธนบุรี</p>
จุฬาลักษณ์ จารุจุฑารัตน์
วชิรศักดิ์ เขียนวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
17B
-
Guidelines for Preparation of the Seafood Industry move towards migrant workers returning to the country. Case Study: Samut Sakhon Province.
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/275140
<p><strong>Abstract</strong></p> <p>This research aimed to recommend policy, planning, logistic and supply chain readiness and human resource management of the seafood industry moving towards migrant workers return to the country. It was mixed with both qualitative and quantitative research. The sample group consisted of 165 entrepreneurs and 8 experts. Sample collection, random sampling, and instruments depending upon each of the research stages were assigned appropriately Statistical analysis tools in this research were percentage, mean, standard deviation stepwise multiple regression analysis (MRA).</p> <p>The research results were: 1) The guidelines for the preparation of the seafood industry moving towards migrant workers return to the country has four approaches: organizational Planning, adhering to Provincial Policies, worker Planning, adopting Modern Technology as THAILAND 5.0 Policy and agriculture for export 2) Entrepreneurs potentiality of logistics and supply chain and human resource management for the seafood industry of Samut Sakhon, the potential strategic of government support and development of the central lower region Samut sakorn province, potential competing models moving towards migrant workers return to the country. Developing potentiality of seafood industry entrepreneurs at Samut Sakhon. Overall, the high level (= 4.29, SD = 0.54, = 4.31, SD = 0.59, = 4.28, SD = 0.72, = 3.64, SD = 0.73, respectively, 3) potential entrepreneurs 3 sides affecting the new Labor market, expansion of trade, cost, and revenue of the entrepreneurs’ variation was 30.5%, 18.5%, 11.70%, 4%, respectively</p> <p><strong>Keywords: </strong>Migrant Workers; Seafood Industry; logistics, Supply Chain, Human Resource management</p>
Bantita sukcharoen
Woraphot Sangaramrungloj
Praison Kam-On
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
15C
-
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/276204
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความต้องการในการพัฒนาตนเองของนักศึกษาครูชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ใน 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ด้านสติปัญญา เพื่อนำข้อมูลมาสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้ในการพัฒนานักศึกษาให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความต้องการในการพัฒนาตนเอง จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.986 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักศึกษาครูชั้นปีที่ 1 จำนวน 217 คน ที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br>ผลการศึกษา พบว่า ระดับความต้องการในการพัฒนาตนเองของนักศึกษาครูชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.73 <br>เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักศึกษาครูมีความต้องการพัฒนาตนเองด้านสติปัญญา อยู่ในระดับมาก ( <img src="https://so02.tci-thaijo.org/public/site/images/pathama.suk@mail.pbru.ac.th/codecogseqn.png" alt="" width="16" height="16"> = 3.88, S.D. = 0.99) รองลงมา คือ ต้องการพัฒนาตนเองด้านอารมณ์ ( <img src="https://so02.tci-thaijo.org/public/site/images/pathama.suk@mail.pbru.ac.th/codecogseqn.png" alt="" width="16" height="16"> = 3.84, S.D. = 1.01) ต้องการพัฒนาตนเองด้านสังคม ( <img src="https://so02.tci-thaijo.org/public/site/images/pathama.suk@mail.pbru.ac.th/codecogseqn.png" alt="" width="16" height="16"> = 3.69, S.D. = 0.97) และ ต้องการพัฒนาตนเองด้านร่างกาย ( <img src="https://so02.tci-thaijo.org/public/site/images/pathama.suk@mail.pbru.ac.th/codecogseqn.png" alt="" width="16" height="16"> = 3.50, S.D. = 1.00) ตามลำดับ</p>
ปฐมา สุขทวี
พัทธ์รดา ยาประเสริฐ
วรัญญา คงปรีชา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
13D
-
การสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลส่งเสริมสุขภาวะ สู่ชีวิตวิถีใหม่ตามสภาวะโรคอุบัติใหม่ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/276083
<p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานทั่วไปและลักษณะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครูผู้สอนที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครที่เปิดการจัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) 2) เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะส่งเสริมสุขภาวะสู่ชีวิตวิถีใหม่ตามสภาวะโรคอุบัติใหม่ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3) เพื่อประเมินความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวน 27 คน เลือกแบบเจาะจง และเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบทดสอบก่อนและหลัง 3) แบบประเมินการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ 4) แบบประเมินความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong> ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครูผู้สอน และข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ พบว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยียุคดิจิทัลผ่านช่องทางโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน สำหรับการปฏิบัติงานมือถือมากที่สุด และครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้ได้ด้วยตนเองอย่างชำนาญ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมและปัญหาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ พบว่าด้านการอ่าน ภาพรวมมีทักษะอยู่ในระดับน้อย ด้านการเขียน ภาพรวม มีทักษะอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการคิดคำนวณ ภาพรวมมีทักษะอยู่ในระดับน้อย</li> <li>ผลของการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างต้นแบบแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลด้วยชุดแบบฝึกทักษะจากการถอดบทเรียน พบว่าพฤติกรรมและปัญหาของเด็ก LD ด้านการอ่าน เช่น การอ่านสะกดคำการอ่านจับใจความ ด้านการเขียน เช่น เขียนอักษรกลับด้าน และด้านการคิดคำนวณ เช่น ตีโจทย์ปัญหาบวก ลบ คูณ หารไม่ถูกต้อง ส่วนผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนรู้ใช้แพลตฟอร์มชุดแบบฝึกทักษะ พบว่าหลังการใช้ชุดแบบฝึกทักษะค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงกว่าก่อนใช้ชุดแบบฝึกทักษะ และผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมินเปรียบเทียบการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ พบว่าด้านการอ่าน ด้านการเขียน และด้านการคิดคำนวณ คะแนนครั้งที่ 2 หลังการใช้ชุดแบบฝึกทักษะคะแนนสูงกว่าครั้งที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนครั้งที่ 2 พัฒนาขึ้นกว่าคะแนนครั้งที่ 1อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> <li>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัล ชุดแบบฝึกทักษะ พบว่าครูผู้สอนในภาพรวมมีความพึงพอใจต่อชุดแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมากที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากแพลตฟอร์มดิจิทัลชุดแบบฝึกทักษะเป็นเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวก ในรูปแบบต่างๆ และสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กLDได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำรงใช้ชีวิตวิถีใหม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุข</li> </ol>
ปนัดดา ยิ้มสกุล
วาสนา เพิ่มพูล
ปัทมา ยิ้มสกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
15E
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์เรียนรู้ชุมชน กรณีศึกษา : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสิ่งทอและแปรรูปผลิตภัณฑ์ท่าช้างเอนซีส ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/275671
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ศักยภาพการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสิ่งทอและแปรรูปผลิตภัณฑ์ท่าช้างเอนซีส ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา และ 2) การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์เรียนรู้ชุมชนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสิ่งทอและแปรรูปผลิตภัณฑ์ท่าช้างเอนซีส ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ประธานกลุ่ม สมาชิก คณะกรรมการ ผู้นำ ปราชญ์ชุมชน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง 20 ราย รวบรวมข้อมูลโดยสำรวจภาคสนาม ศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก สนทนากลุ่ม และสร้างข้อสรุปโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสิ่งทอและแปรรูปผลิตภัณฑ์ท่าช้างเอนซีส มีศักยภาพการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี โดยผลิตภัณฑ์สิ่งทอและแปรรูปมาจากกระบวนการในชุมชน ใช้วัตถุดิบ ทรัพยากร ทุน แรงงาน ในชุมชนเป็นหลัก มีความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมองค์ความรู้ และถูกรวบรวมจัดเก็บอย่างเป็นระบบ โดยชุมชนร่วมกันเป็นเจ้าของ สะท้อนอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สื่อสารทางสังคมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และมีส่วนร่วมแบบองค์รวม 2) การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์เรียนรู้ชุมชนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสิ่งทอและแปรรูปผลิตภัณฑ์ท่าช้างเอนซีส โดยขับเคลื่อนแบบบูรณาการเชื่อมโยงกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แนวคิด “<strong>POLCT MODEL</strong>” มีองค์ประกอบ 5 ด้าน คือ P: Planning (การวางแผน) O: Organizing (การจัดการองค์การ) L: Leading (ผู้นำ) C: Controlling (การควบคุม) และ T: The King’s Philosophy (ศาสตร์พระราชา) ประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบการพัฒนา การจัดการศูนย์เรียนรู้ชุมชนที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพของทุนในชุมชน และขยายผลพัฒนานวัตกรรมชุดองค์ความรู้ สืบสานภูมิปัญญา สร้างรายได้ และความยั่งยืน</p>
วิภาวี พูลทวี
ศิริพร เลิศยิ่งยศ
ชิตวรา บรรจงปรุ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
20F
-
ทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเครือข่ายที่ 36 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/272282
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเครือข่ายที่ 36 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเครือข่ายที่ 36 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูในโรงเรียนเครือข่ายที่ 36 สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 113 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน จากนั้นสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวบข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างด้วย ค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p>
ศศกรณ์ สุขอินทร์
นิวัตต์ น้อยมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
18G
-
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/276388
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 การวิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 59 โรงเรียน โดยผู้ตอบแบบสอบถามประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนและครูจำนวน 118 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละค่าเฉลี่ย ความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงอยู่ในระดับสูง และมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นอกจากนี้ยังพบว่า<br />การส่งเสริมภาวะผู้นำสามารถพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนและบุคลากรให้ก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน</p>
สงวน อินทร์รักษ์
ปลีลา ศักดิ์สิริชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
12H
-
การพัฒนาชุดเฝ้าระวัง แสดงผล แจ้งเตือน และควบคุมปริมาณ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ด้วยระบบ IoT
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/273878
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาชุดการเฝ้าระวัง แสดงผล แจ้งเตือน และควบคุมปริมาณ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate matter with diameter of less than 2.5 micron; PM2.5) ด้วยระบบ IoT และประเมินประสิทธิภาพชุดการเฝ้าระวัง แสดงผล แจ้งเตือน และควบคุมปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กด้วยระบบ IoT (Internet of Thing) ผู้วิจัยติดตั้งและทดสอบในอาคาร 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กรุงเทพมหานคร และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากข้อมูลมาตรฐานของสถานีวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 รหัส 02t กรุงเทพมหานคร ของกรมควบคุมมลพิษ ผลการประเมินประสิทธิภาพชุดเฝ้าระวัง แสดงผล แจ้งเตือน และควบคุมปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กด้วยระบบ IoT ของผู้วิจัย พบว่า สามารถวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ ค่าที่วัดได้ใกล้เคียงกันไปในทิศทางเดียวกันกับอุปกรณ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และสามารถแจ้งเตือนทางแอพพลิเคชันไลน์ได้ ส่วนการควบคุมระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กแบบพื้นที่ปิด พบว่าการฉีดละอองหมอกด้วยน้ำแรงดันสูง เป็นเวลา 20 นาที ไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ ส่วนการควบคุมระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก แบบพื้นที่เปิด พบว่า ถ้าค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 140 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร การฉีดละอองหมอกด้วยน้ำแรงดันสูงนั้นจะลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ภายในเวลา 20 นาที</p>
สุชาติ หัตถ์สุวรรณ
ดวงดี วิเชียรโหตุ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
16I
-
การศึกษาความฉลาดทางอารมณ์กับการปรับตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/275652
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient: EQ) และความสามารถในการปรับตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี เพื่อเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์และการปรับตัวของนักศึกษาที่มีปัจจัยประชากรศาสตร์แตกต่างกัน และเพื่อเสนอแนวทางพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวน 522 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามประเมินความฉลาดทางอารมณ์และการปรับตัว และแบบสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การจัดระบบการตีความนำไปสู่บทสรุป ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่านักศึกษามีระดับความฉลาดทางอารมณ์โดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยมีจุดเด่นด้านการจัดการความสัมพันธ์และการรับรู้อารมณ์ของตนเอง ในขณะที่การบริหารจัดการอารมณ์ยังคงต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม ด้านการปรับตัวพบว่านักศึกษามีคะแนนสูงในด้านการเข้าสังคมและสติปัญญา แต่การปรับตัวทางอารมณ์ยังอยู่ในระดับปานกลาง ผลการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างเพศพบว่านักศึกษาหญิงมีความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคมสูงกว่านักศึกษาชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยนี้ จึงเสนอแนวทางพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และการปรับตัว เช่น การบูรณาการความฉลาดทางอารมณ์ในกระบวนการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะด้านอารมณ์และสังคม และการให้คำปรึกษาเพื่อดูแลสุขภาพจิต ผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาแนวทางเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะในบริบทของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีในประเทศไทย ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต</p>
สุพิชฌาย์ เพ็ชรสดใส
บุราณี ระเบียบ
เกรียงศักดิ์ รัฐกุล
พนิดา โตบุญเรือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
11 1
1
18J
-
การพัฒนาธรรมนูญชุมชนเพื่อการเกษตรปลอดการเผา ตำบลแม่กาษา อ.แม่สอด จ.ตาก
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/DRURDI/article/view/274713
<div><strong><span lang="EN-US"> </span><span lang="TH">การวิจัยนี้ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาธรรมนูญชุมชนเกษตรปลอดการเผาอย่างยั่งยืนในตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนประสบปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศจากการเผาในภาคการเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ แม้ชุมชนตระหนักถึงปัญหาและประสงค์จะปรับเปลี่ยน แต่ยังขาดความรู้ ทักษะ เทคโนโลยี และแรงจูงใจกระบวนการพัฒนาธรรมนูญฯ ดำเนินการโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีการจัดกิจกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้ร่วมแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ ธรรมนูญฯ ที่พัฒนาขึ้นจึงมีความครอบคลุม เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และมีมาตรการส่งเสริมการทำเกษตรปลอดการเผา เช่น การห้ามเผา การส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร การให้ความรู้ และการจัดตั้งกลไกการติดตามและประเมินผล</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">การวิจัยพบปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จของการพัฒนาและการนำธรรมนูญฯ ไปปฏิบัติ ได้แก่ ความร่วมมือของคนในชุมชน การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน และการมีผู้นำที่เข้มแข็ง เช่น ความเชื่อมโยงของปัญหาหมอกควันกับการเผา รูปแบบการมีส่วนร่วม มาตรการส่งเสริม และปัจจัยแห่งความสำเร็จ สามารถนำไปประยุกต์ใช้</span></strong></div>
คมสันต์ นาควังไทร
อดิเรก ฟั่นเขียว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-28
2025-06-28
11 1
1
12K